เมนูแนะนำ

Albert Bandura

นักจิตวิทยาผู้คิดทฤษฎี Social learning theory

แอลเบิร์ต แบนดูรา เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2468 ณ. หมู่บ้าน Mundare ซึ่งอยู่ตอนเหนือของเมือง Alberta ในแคนาดา หลังจากจบมัธยมปลายแล้ว แบนดูร่าไปทำถนนในแคว้น Yucon ที่นี่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับคนที่มีลักษณะต่างๆกัน จากเพื่อนร่วมงาน

เขาทำถนนได้เพียงเดือนเดียว แล้วจึงมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย บริติช โคลัมเบีย ในแวนคูเวอร์ เขาเลือกเรียนวิชาเอกทางจิตวิทยาด้วยความบังเอิญ เพราะเขาจะอาศัยรถไปกับนักศึกษาคณะวิศวะและเตรียมแพทย์ ที่มีวิชาเรียนตอนเช้ามากๆทุกวัน เขาเห็นว่าวิชาทางจิตวิทยาวิชาหนึ่งเปิดสอนตอนเช้าๆพอดี ซึ่งก็ตรงกับเวลาเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยทุกเช้าของเขา เขาก็เลยตกลงเรียนวิชาจิตวิทยา จนเขาติดใจมากๆ เขาเรียนจบภายใน 3 ปี พร้อมกับรางวัลเรียนดี

เขามาเรียนปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัยไอโอว่า (Iowa) ซึ่งมีนักจิตวิทยาชื่อดังหลายคนสอนอยู่ที่นั่น ขณะที่เรียนนั้น วันหนึ่งเขาไปออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อน แล้วก็สังเกตเห็นว่าก๊วนกอล์ฟข้างหน้าเป็นผู้หญิงสองคน หนึ่งในนั้นคือ เวอร์จิเนีย วาร์น (Virginia Varne) ซึ่งเป็นอาจารย์สอนพยาบาล ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ไม่กี่เดือนต่อมาทั้งสองคนก็แต่งงานกัน

หลังจากเรียนจบปริญญาโท และเอก ในปี 1951 และ 1952 ตามลำดับ แบนดูราก็ได้เข้าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Stanford (ที่เชลซี ลูกของคลินตันเรียนอยู่ตอนนี้) ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ดร. Bandura เป็น Intern ระดับ Postdoctor ที่ Wichita Guidance Center ขณะที่ Virginia ภรรยาของเขาเป็น Supervisor ของ โรงพยาบาลด้านสูติเวช ทั้งองคนมีลูกสาวด้วยกัน 2 คน คือ Carol และMary

ดร. Bandura ชอบงานที่มหาวิทยาลัย Stanford ตั้งแต่เริ่มสอนในปี 1953 เพราะมีเพื่อนร่วมงานที่เก่ง นักเรียนที่มีพรสวรรค์ และมีอิสระที่จะค้นคว้าอะไรก็ได้ที่เขาอยากรู้อยากเห็น วิธีการทำงานของมหาวิทยาลัยเองก็เอื้อต่อการทำงาน คือไม่ได้เน้นเรื่องการตีพิมพ์ผลงาน แบบ publish or perish แต่เน้นเรื่องการสร้างองค์ความรู้มากกว่า

ดร. Bandura เป็นศาสตราจารย์เมื่อปี 1964 ช่วงปี 1969-70 เป็นนักวิจัยประจำศูนย์ศึกษาพฤติกรรมศาสตร์ขั้นสูง ปี 1976-77 ทำหน้าที่คณบดีคณะจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย ขณะนี้รับตำแหน่ง David Starr Jordan Professor of Social Sciences in Psychology ที่มหาวิทยาลัย Stanford

ตอนที่ ดร. Bandura เข้ามาสอนใหม่ๆ คณบดีขณะนั้นคือ ดร. Robert Sears กำลังศึกษาเกี่ยวกับเหตุของพฤติกรรมทางสังคม และการเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างอัตลักษณ์ (Identificatory learning) ซึ่ง ดร. Bandura ก็ได้จับแนวทางเดียวกันนี้มาพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎี social learning กับ ความก้าวร้าว ร่วมกับ Richard Walters ที่เป็นลูกศิษย์ระดับปริญญาเอกของเขาคนแรก งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของต้นแบบของพฤติกรรมมนุษย์ โดยผ่านการเรียนรู้จากการสังเกต ในหนังสือ Aggression: A Social Learning Analysis (1973) ดร. Bandura ชี้ให้เห็นว่าผู้คนเรียนรู้ด้วยการสังเกตอย่างไร และนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องการแสดงพฤติกรรมที่ถูกกำหนดด้วยกฎเกณฑ์ด้วยการคิดเอาเอง และการไม่แสดงพฤติกรรมบางอย่างจากประสบการณ์เสมือนจริง นอกจากนี้เขายังตีพิมพ์หนังสือ Social Learning and Personality Development ในปี 1963 อีกด้วย ทฤษฎี Social Learning Theory ถูกรวบรวมเป็นหนังสือในปี 1977

ช่วงกลางทศวรรษ 1980 ดร. Bandura พัฒนาทฤษฎี Social cognitive theory ในการทำงานของมนุษย์ ทฤษฎีนี้มีปัจจัยหลักคือ กระบวนการทางปัญญาความคิด เลียนแบบ ตีกรอบของตนเอง และรู้จักมองตนเอง ทฤษฎี Social cognitive theory ใช้แนวคิดเกี่ยวกับ Agentic perspective ที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการจัดระเบียบตนเอง เป็นผู้แสวงหา รู้จักมองตนเอง รวมทั้งควบคุมตนเองได้ ไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตที่คอยตอบสนองสิ่งเร้าใจสิ่งแวดล้อม หรือทำอะไรตามใจ ตามอารมณ์ การกระทำของมนุษย์คือผลพวงของพลวัตรระหว่างปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมและตัวบุคคล ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน มนุษย์เราเป็นผู้สร้างและผลผลิตของสิ่งแวดล้อม ซึ่งถูกนำมาวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง ในหนังสือ Social Foundations of Thought and Action: A Social Cognitive Theory

แนวทางวิจัยที่ ดร. Bandura สนใจคือเรื่องเกี่ยวกับกลไกของการบังคับตนเองเพื่อเอาชนะแรงจูงใจและพฤติกรรมของตนเอง งานวิจัยอีกแนวหนึ่งที่ ดร. Bandura สนใจคือมุมมองของผู้คนที่มีต่อความมีประสิทธิภาพของตนเองในการบังคับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวต่างๆที่กระทบต่อชีวิตของเรา และส่งผลกระทบต่อการทำงานของจิต “ความเชื่อของผู้คนเกี่ยวกับความมีประสิทธิภาพของเรา ส่งผลกระทบต่อทางเลือกของเราอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลต่อแรงจูงใจ และความอดทนเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค ความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้นั้น มาจากความมานะอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกที่ตนเองมีประสิทธิภาพต่ำนั้น จะเป็นกระบวนการตีกรอบหรือกำหนดตนเอง ในการประสบความำเร็จนั้น เราต้องการความรู้สึกมีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่นในการสู้กับอุปสรรคและความไม่เท่าเทียมกัน” แนวทางวิจัยแนวที่สี่ของ ดร. Bandura คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับการตอบสนองต่อความเครียดและความกดดันเกิดจากอะไร เมื่อเร็วๆนี้ ดร. Bandura พยายามสร้างกรอบแนวคิดที่จะอธิบายถึงความสามารถควบคุมตนเอง จากการชั่งน้ำหนักระหว่างจริยธรรมกับการแสดงออกในทางลบ การหาความชอบธรรมในการแสดงออกที่แฝงจริยธรรมนั้น เป็นกลไกในการควบคุมความประพฤติที่ดีอย่างหนึ่ง การแสดงออกเชิงลบเกิดจากการยอมรับของตนเองและสังคม เมื่อถูกอ้างด้วยหลักการทางจริยธรรม นี่พอจะอธิบายได้ว่าทำไมคนเราถึงไม่แสดงอะไรออกมาเพื่อต่อต้านกระบวนการการใช้ความรุนแรงในสังคม

ความสำเร็จทางการงานของ ดร. Bandura นั้น มากมายนัก ไม่ว่าจะได้เป็นรางวัลทางวิชาการปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย 13 แห่ง ทั้งในอเมริกา และต่างประเทศ หนังสือที่ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆถึง 10 ภาษา งานเขียนตีพิมพ์ในวารสารวิชาการอีกนับไม่ถ้วน

ในชีวิตส่วนตัว ครอบครัวของ ดร. Bandura เชื่อว่า การมีความสุขนั้นมีความสำคัญมากกว่าการวิเคราะห์ Anova ครอบครัวของ ดร. Bandura ชอบปีนเขา Sierra และผาชายฝั่งแถว California และ “อะไรก็สู้การใช้เวลาสอง สามวันอยู่กับกวางมูสบนยอดเขาไม่ได้” แต่ละปี ดร. Bandura จะพาครอบครัวไปดูโอเปร่าที่ San Francisco Opera หาอาหารอร่อยๆในแถบ Bay Area (คนรวยอยู่กันมาก) กิน กินองุ่นๆอร่อยจากหุบเขา Napa และ Sonoma (ที่ผลิตไวน์อันลือชื่อของ California) และตามประสาคนที่เป็นคุณตา ดร. Bandura ชอบที่จะเล่นกับหลานแฝดสองคน คือ Andy กับ Tim