Communication Academic Forum and Education of Thailand

สภากาแฟ: CAFE de Thailande

วันที่  25 ธันวาคม 2543
หมายเลขบทความเสวนา 0004

หัวข้อเรื่อง

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 23 ธ.ค. 2542

เนื้อหา-สาระ

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 23 ธ.ค. 2542

 

เนื้อหา-สาระ

ปีที่แล้วในโอกาสเช่นนี้ได้ขอบใจท่านทั้งหลาย  ผู้ที่มาในงานนี้ ทั้งข้างนอกข้างในว่า  ขอขอบใจที่ได้มาอวยพรปีใหม่    ที่จริงก็เกือบไป   แต่อย่างไรก็ได้แก้ตัวว่าเป็นการอวยพรปีใหม่   ถึงอีกปีหนึ่งที่ผ่านไปแล้ว  ตอนนี้  ก็ต้องขอบใจท่านที่ได้มาอวยพรในการที่ได้ผ่านไป 6 รอบ แต่ของจริง การที่บอกว่า อวยพรหรือให้ความยินดีที่ผ่านไป 6 รอบก็ไม่ค่อยถูกนัก ควรเป็นมาอวยพรในการขึ้นต้นรอบที่ 7 ก็จะเป็นมงคล และได้ตอบสนองได้ว่า ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ความเจริญ ความสำเร็จในรอบต่อไป

ในการนี้  ก็ต้องขออวยพรปีใหม่  เพราะใกล้ปีใหม่เต็มที ให้แต่ละท่านได้รับความเจริญ ความสำเร็จ  มีพลานามัยแข็งแรงต่อไป  ที่อวยพรให้อย่างนี้ ก็เพราะว่า ปีใหม่ที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วันนี้ เขาถือว่าเป็นปีที่ ประหลาดเป็นปีที่พิเศษ  แต่ว่าส่วนมาก  ปีหน้าเป็นปี 2543 ก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาดเลย มันก็ผ่านไปอีกปีเริ่มต้นอีกปี ไม่มีอะไรเป็นพิเศษใดๆ เลย เพียงแต่เป็น  2542 บวก 1 เป็น 2543 แต่ว่าทุกคนเครียด เพราะว่า ปีที่ผ่านมานั้นเป็นปีที่ค่อนข้างจะมีความเครียด  อาจเป็นเหตุผลที่ให้ จะผ่านปี จะขึ้นปีใหม่นั้นเป็นสิ่งที่เกรงกลัวกันว่าจะเครียด ว่าจะลำบากต่อไป  ซึ่งก็อย่างที่ว่าปีหน้าก็ไม่มีอะไรที่พิเศษ  เป็นปี2543 แต่ว่าที่เครียดกันก็เพราะ ว่า ปีนับเป็นปี พุทธศักราช แต่ถ้านับเป็นคริสศักราช เป็นปี 2000 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สวย

แต่ตัวเลขที่สวยก็เพราะกลัวกันมา  กลัวกันมากเพราะว่า  เกี่ยวข้องกับวิทยาการแผนใหม่  โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับเรื่องของคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นของสมัยใหม่และส่วนมากเดี๋ยวนี้ก็สนับสนุนให้ศึกษาเรื่องคอมพิวเตอร์ และศึกษาวิทยาการสมัยใหม่   คอมพิวเตอร์นี่ที่กลัวกันมาก  เพราะคนที่สร้างหรือออกแบบคอมพิวเตอร์ตอนแรกไม่มีวิสัยทัศน์

คำว่าวิสัยทัศน์เดี่ยวนี้ชอบพูดกัน   และพูดกันว่าคนนี้มีวิสัยทัศน์   คนนี้ไม่มีวิสัยทัศน์อันนี้เป็นคนละเรื่องแต่นึกถึงผู้ที่สร้างคอมฯ  ไม่มีวิสัยทัศน  เพราะว่าเมื่อเริ่มทำ  เขาบอกว่า กว่าจะถึงปี 2000 อีกหลายต่อหลายปี แต่ว่าความจริงหลายต่อหลายปีนั้น เดี๋ยวนี้ก็ถึงแล้ว ที่เขาทำ เขาสร้างขึ้นมา เริ่มใช้กันปีที่คนรู้  แถวๆ ปี 1945 หรือ 1950 เป็นปีคริสตศักรราช เขาก็บอกว่า ปี1950 ก็ย่อเป็นปี 50 ก็ง่ายดี ประหยัดดีไม่ต้องใส่ปี   1950   แล้วก็ใช้ได้คนสมัยนั้น   คนที่สร้างก็เฉลี่ยดูก็อายุ   30-40  ที่ศึกษาการสร้าง คอมพิวเตอร์แบบพัฒนาคอมพิวเตอร์  เมื่อถึง  ปี  2000 เขาก็บอกว่า เขาอายุ 80-90 แล้ว เขาคงไม่ต้องทำแล้ว  คงเป็นคนที่ปลดเกษียณแล้ว ไม่ต้องทำงาน รับผิดชอบ จึงไม่คิดทำให้เป็นปี 2000 ให้สิ้นเปลืองกันเปล่าๆ แต่ว่า อีกไม่กี่วันจะถึงปี 2000 ก็เลยจ้าละหวั่นกันใหญ่ ต้องแก้ปัญหาปี 2000 ซึ่งภาษาฝรั่ง ปีก็ตัว y  ตัวเยียร์  2000ก็ไม่ได้เขียนปัญหา y2000 เขียนว่า y2kหรือ 2ykนั้นแปลว่าพัน เหมือนคำว่ากิโลเมตรก็พันเมตร  กิโลกรัมก็พันกรัม  คนไทยก็เป็นคนที่ย่อๆเหมือนกัน เหมือนกับฝรั่งที่สร้าง เครื่องคอมพิวเตอร์ ฝรั่งสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ปี 1950 เขาตัดพันออก เก้าร้อยเขาก็ตัดออก เหลือ 50

คนไทยตรงข้าม  น้ำหนักกี่กิโลกรัมก็ยังเรียกน้ำหนักเท่านั้นเท่า นั้นกิโล  หรือเดินทางเท่านั้นๆกิโลเมตร  ก็ไปเท่านั้นกิโลและชาวบ้านโดยมาก เดินทาง เขาก็ตัดเป็นไปกี่โล 1 โล 2 โล 3 โล ก็ตัดไปให้สั้น คนไทยนี่ตัดไปคนละ อย่างกับฝรั่ง  ก็ทำให้คนไทยกับฝรั่งต่างกัน  แต่อย่างไรก็ตามคนไทยหรือ คนฝรั่ง คนต่างประเทศก็เดือดร้อนตามๆกัน  เพราะว่าถ้าถึงปี  2000  มันเป็น ปีสองศูนย์ศูนย์ศูนย์  จะกลายเป็นปี 1900 บ้างหนึ่งเก้าศูนย์ศูนย์ ถ้าหากเป็น  1900  ใครมีบัญชีในธนาคารจะไปบอกว่า  วันนี้วันที่  1 หรือวันที่  2-3  มกราคม 2000 ก็ไปดูในตำราเขา  ก็บอกเป็นปี 1900 ทางธนาคารก็บอกคุณไม่มีสตางค์ หมดแล้ว ไม่ต้องบุคคล รัฐบาลก็ไม่มีสตางค์ เหมือนกัน  เดือดร้อนถ้าไม่มีสตางค์ แต่ว่า สมัยนี้เราไม่ใช่ว่าไม่มีสตางค์ เรามีหนี้ มันตรงข้าม  ทีนี้ไปดูปี 1900 ไม่มีหนี้ก็ไชโย อันนี้เป็นเรื่องต่างๆ ที่เวลามาพูดต่อหน้าท่านทั้งหลาย ก็มีคนที่ซ้ำหน้าบ้าง ไม่ซ้ำหน้าบาง มันทำให้ความคิดเฟื่อง มีความคิดแปลกๆ ว่า ทำไมคนเรามีปัญหา

ที่พูดมานี้  ก็จะพูดถึงปัญหาหลายอย่าง บางปัญหาไม่อยากพูด เพราะถ้าพูดแล้วเดี๋ยวจะทะเลาะกันต่อไป  แต่ว่าพูดถึงว่า  เราคนไทยเรียกว่า กิโล เป็นโล ถ้าจะเรียกว่า ปัญหาปี 2000 นี้เราก็ต้องย่อเป็นปัญหา  ปี 2 โล คนก็ไม่เข้าใจ ก็เลยต้องพูดเป็น ปัญหา 2 วายเค ต้องใช้ภาษาฝรั่ง อันนี้ก็เป็น ปัญหาเกิดขึ้นอย่างที่ได้มีคำพูดของนายกฯว่า  ทรงสนับสนุนการศึกษา  อันนี้การศึกษาก็ต้องสนับสนุน แต่เป็นปัญหาอย่างหนักว่า  ให้ศึกษาเดี๋ยวนี้ ก็พูดว่าชั้นประถมก็ต้องสอนภาษาอังกฤษ ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ก็จริงแม้แต่ชั้นอนุบาลหรือก่อนอนุบาลก็ใช้ภาษาอังกฤษ เวลาฟังวิทยุ  ผู้ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษฟังไม่รู้เรื่อง  ฟังวิทยุทุกวัน ฟังดูแล้ว  คนที่ไม่มีความรู้ภาษาอังกฤษจะไม่มีทางเข้าใจว่า  เขาพูดว่ากระไร  ด้วยเหตุผล  2 อย่าง อย่างนึง ใช้คำภาษาฝรั่งโดยที่ไม่แปลบางท่านหรือโฆษก บางคน  หรือผู้ดำเนินรายการก็ดี เวลาที่คู่สนทนาพูดเป็นภาษาอังกฤษขึ้นมา โฆษกเขาแปลเป็นภาษาไทยทันที  ว่าแปลว่าอะไร บางทีผู้ที่สนทนาพูดเป็น ภาษาอังกฤษ และคู่สนทนาก็ไม่ว่าอะไร  ไม่โกรธ  เขาต้องแปล ผู้ฟังก็รู้เรื่องว่า ผู้มาสนทนาพูดเรื่องอะไร อันนี้เป็นข้อหนึ่งที่ต้องรู้ภาษาอังกฤษ

อีกอย่างนึงพูดภาษาไทย แต่คำภาษาไทยนั้นแปลงตรงมาจาก ภาษาอังกฤษก็เลยฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดว่าอะไร  ก็ต้องฟังรายการหรือฟังที่เขา พากย์ภาพยนตร์เป็นภาษาไทย  เราจะต้องคิดว่าภาพยนตร์นั้นเป็นภาพยนตร์ เรื่องอะไร   เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร   ที่ลำบากก็ต้องแปลภาษาไทยนั้นเป็น ภาษาอังกฤษ แล้วเอามาแปลภาษาไทยใหม่ถึงจะเข้าใจ ซึ่งเสียเวลา อันนี้ เรื่องหาความลำบากของภาษา ถ้าหากว่าการศึกษาสามารถที่จะสอนภาษาอังกฤษคู่กับภาษาไทย         ก็อาจทำให้คนเข้าใจดี แต่สมองของคนจะรับได้หรือไม่สมองของเด็ก  เด็กจะรับได้หรือเปล่ายิ่งถ้าเป็นสมองของครูสมอง ของครูจะรับได้หรือเปล่า  ที่จะสอนภาษาไทยที่จะสอนภาษาไทยคู่กับภาษาอังกฤษตลอด ไม่สามารถที่จะสอนแล้ว จะทำให้เด็กมีความรู้ยิ่งกว่าเดิม

อันนี้เป็นข้อคิด  ที่เข้าใจว่า  ไม่เคยได้ยินเขาพูดว่าการสอน ภาษาหนึ่งภาษาใดต้องควบ โดยมากเขาเรียนภาษา  มีวิธีสองวิธี วิธีหนึ่งพูด เป็นภาษาไทย และสอนเป็นอังกฤษ ว่าคำนี้แปลว่าอะไร อีกวิธีก็พูดเป็นภาษา อังกฤษ  และสอนเป็นภาษาอังกฤษ  ให้เข้าใจเอาเอง ซึ่งทั้งสองอย่างก็ลำบาก และทำให้ความรู้เกิดขึ้นช้า

ถ้าพูดภาษาอังกฤษล้วน  ก็ใช้ตำราในภาษาอังกฤษ  แต่อย่างนั้น มันไม่เกิดประโยชน์มากนัก  ถ้ามีความรู้พอแล้วก็จะเร็ว  เพราะตำราภาษา อังกฤษก็มีแล้ว มีพร้อมไม่ต้องแปลด้วยซ้ำ เพราะไปเอาตำราเขาทั้งดุ้นก็ใช้ ตำราภาษาในภาษาอังกฤษแล้วมาสอน  แต่อย่างนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์มากนัก  เพราะสมองของคนไม่เหมือนกันหรือสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน  สภาพ แม้แต่อุณหภูมิก็ไม่เหมือนกันนอกจาก 2-3 วันนี้อากาศเย็นมากเขาขู่ว่าอาจจะลงไปถึง 14 องศาเซลเซียสที่กรุงเทพ ซึ่งเมื่อคืนนี้ก็ใกล้เคียง ก็ต้องหาวิธีที่จะทำการเรียนการสอนให้ได้ประโยชน์และได้สามารถที่จะเข้าใจ ความจริงไม่ใช่ว่าจะ เข้าใจภาษา  เข้าใจวิชาการและไม่ใช่วิชาการเท่านั้นเอง แต่ต้องเข้าใจวิธีปฏิบัติ ตนคือหมายถึง  จริยธรรม และอะไรต่างๆ ต้องเรียนต้องรู้ ต้องมีความรู้กว้าง ขวาง อันนี้ที่เป็นข้อสำคัญในการพัฒนาการศึกษา

ถ้าหากว่าไม่พัฒนาศึกษาประเทศชาติจะต้องหน้าไม่ได้   เพราะถ้าไม่พัฒนาการศึกษาความเข้าใจของบุคคลจะไม่มี  ถ้าความเข้าใจของ บุคคลไม่มีคนพูดอย่างข้อใดก็ตามที่คนไม่เข้าใจ คือ สื่อความหมาย สื่อความ คิดไม่ได้ ถ้าไม่มีความรู้ โดยเฉพาะทางภาษา อันนี้ที่จะต้องแก้ไข  ที่บอกว่าต้องแก้ไข  เพราะรู้ว่า ยังไม่ดี เมื่อสมัยก่อนนี้ พอได้ เมื่อสมัยเมื่อต้นศตวรรษ  ปี 1900 นั้นในเมืองไทยการ ศึกษายังไม่ก้าวหน้านัก แต่คนเข้าใจ คนรู้เรื่อง ค่อยๆ มาถึงกึ่งศตวรรษ  คือแถว  1950 ชักจะไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะไปสนใจเรื่องคอมพิวเตอร์ ก็เลยปล่อย ให้คอมพิวเตอร์คิดเอง  คนไม่คิด  เดี๋ยวนี้สมองของคนเป็นทาสของคอมพิวเตอร์  ซึ่งคอมพิวเตอร์นั้นเป็นสมอง เรียกว่า  สมองกล เป็นสิ่งที่คนคิดขึ้นมาทำ คนก็เลยไม่ใช้ความคิด เมื่อไม่ใช้ความคิดแล้วพูดจากันก็ไม่รู้เรื่อง 

นี่ที่ชักนิยายต่างๆ  เหล่านี้  ท่านทั้งหลายคงนึกว่า จะไปไหน จะพูดเรื่องอะไร ก็พูดเรื่องเดิม ก็เมื่อ  2 ปี พูดถึงเศรษฐกิจ พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง พูดถึงทฤษฎีใหม่ แล้วก็บอกว่า ถ้าไม่รู้เรื่อง ปีหน้าก็มาอีก ก็ปีหน้าก็มาจริงๆ คือปี 2541 

ปี  2541 มาแล้วก็ต้องมาอธิบายใหม่ ที่บอกว่า พูดเรื่องเศรษฐกิจ พอเพียง ก็แปลแล้ว เป็นภาษาอังกฤษ  ก็ไม่เข้าใจความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง  ก็เลยบอกแล้วว่า  ถ้าไม่เข้าใจก็จะอธิบายใหม่ เมื่อปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2541 ก็ได้อธิบาย ก็รู้สึกว่า อธิบายอย่างแจ่มแจ้ง ยืดยาว ก็ดูใครต่อใคร พยักหน้าว่า  เอ้อ ดี ทำไปทำมา ก็ถามกันว่า จะทำอย่างไร ทำเศรษฐกิจพอ เพียงของพระเจ้าอยู่หัวก็มีการสัมมนากัน  มีรายการวิทยุ ผู้เชี่ยวชาญหลายคน ถามกันไป ถามกันมา ว่า เศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวนี่เป็นอย่างไร  โอ้ยดี  จะทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ได้ บางคนก็คัดค้านบอกว่าไม่ดี  ไม่ใช่ว่าผู้ที่กล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียง  เป็นคล้ายๆ ทฤษฎีขึ้นมาใหม่นะ จะน้อยใจ ไม่น้อยใจดีใจที่ท่านผู้ที่เป็นนักเศรษฐกิจ  ผู้เป็นอาจารย์ เศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเขาอุตส่าห์อ่านถึง เอ่ยถึงเศรษฐกิจพอเพียงของ พระเจ้าอยู่หัว

ถ้าเขาไม่เห็นว่าดีจริง เขาไม่พูดหรอก ถ้าพูดเดี๋ยวหาว่า มาติเตียนพระเจ้าอยู่หัว ไม่ดี แต่นี่เขาก็พยายามที่จะเอาขึ้นมาใช้ แต่เขามีคำ ถามว่าป็นอย่างนั้นใช่มั้ยเป็นอย่างนี้ใช่มั้ย เหมือนกับพระเจ้าอยู่หัวว่า  ใช่มั้ย  ๆ และเขาพูดในทีวี แล้วพระเจ้าอยู่หัวก็ฟังดู มันไม่ใช่สองทาง เดี๋ยวเราต้องตั้ง สถานีโทรทัศน์ดูเขาเถียงกันบนเวที แล้วพระเจ้าอยู่หัวก็นั่งฟัง แล้วถ้ามีอะไรที่ เขาจะถาม เขาก็จะถามว่าพระเจ้าอยู่หัวคิดอย่างไร  แล้วพระเจ้าอยู่หัวก็จะยก มือขึ้นเหนือหัว เราก็กดไมโครโฟน แล้วก็ตอบยืดยาวจนกระทั่งมีการประท้วง 

แต่อย่างไร ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้นอนไม่ได้หลับ คือเขาจะมี โปรแกรมโต้วาทีกัน ถ้าพูดอย่างนั้นก็เป็นการโต้วาที  ให้กระชับหน่อย กระชับไม่ได้ อธิบายถึงเรื่องสำคัญ คือเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ ที่เขาพูดกัน มาเป็นแรมปี เป็นร้อยปีแล้ว แล้วก็ยังตกลงกันไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะ มาแก้ปัญหาได้ทันทีทั้งหมด  แต่ว่าบางอย่างก็คันปากที่จะตอบ  แล้วเขาก็บอกว่า  ก็ไม่บอกเพราะว่าเขาไม่ได้ยินหรอก  ก็ไม่ทราบว่าเราจะประท้วง แต่อยากประท้วงเพราะว่าพาดพิง

วันนี้ได้เปรียบ  เพราะว่าไมโครโฟนอันนี้เปิดตลอด ไมโครโฟน อันโน้นไม่เปิด และถ้าเขาเปิด ก็จะต้องบอกว่าไม่ให้เปิด  ก็ต้องบอกได้ว่า เขามีดอกเตอร์คนนึงพูด เขาพูดว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี่ ภาษาอังกฤษเขาจะว่ายังไง  แหม  คันปากอยากจะพูด  ที่จริงที่คันปากที่จะพูด  ก็เพราะว่าตอบแล้ว พูดแล้ว อย่างที่เห็นในทีวีในการณ์ใหญ่  เขาพูดถามโน่นถามนี่  เราก็ดูแล้วก็รำคาญ เพราะว่าตอบแล้ว เขาตอบแล้ว เสร็จแล้วก็ให้ตอบใหม่ เมื่อตอบอีกแล้ว บอกว่าทำไมพูด ถามเสร็จแล้วเขาก็ตอบ ผู้ถามก็ถามว่าทำไมพูด  พูดแล้ว แล้วลำบาก คราวนี้เราฟังเขา แล้วเขาถามว่าภาษาอังกฤษ จะตอบจะแปล เศรษฐกิจพอเพียงว่าอย่างไร  ก็อยากจะตอบว่า  มีแล้วในหนังสือ  ในหนังสือ ไม่ใช่ตำราเศรษฐกิจ  ในหนังสือพระราชดำรัสที่อุตส่าห์พิมพ์อุตส่าห์เอามาปรับ ปรุงดูให้ฟังได้และแปลเป็นภาษอังกฤษ  เพราะว่าคนที่ฟังเดี๋ยวนี้ไม่ได้แปลเป็น ภาษอังกฤษ  คนที่ฟังภาษาไทย  บางทีไม่เข้าใจภาษาไทย ก็ต้องแปลเป็นภาษ อังกฤษ ก็ได้แปลเป็นภาษอังกฤษแล้วเขียนเส้นใต้ด้วย    ว่าเศรษฐกิจพอเพียง   เขียนเป็นตัวหนา   แปลว่า SUFFICIENCY ECONOMY เขียนเป็น ตัวหนาในหนังสือ 

ในหนังสือพลิกๆ อาจจะไม่เห็นเพราะเขียนเป็นตัวหนา  ตัวเองก็ตกใจว่า เราไม่ได้แปลหรือ เราไม่ได้อธิบายหรือ  ก็เลยไปดูใน คอมพิวเตอร์ สมเด็จพระเทพฯ ได้อุตส่าห์ทำซีดีรอม พระราชดำรัส วันที่ 4  ธ.ค.  หลายฉบับ และเข้าไปในซีดีรอม และเอาซีดีรอมนี้มาให้ เราก็เอาใส่เข้า ไปในคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็เก่ง  รู้สึกตัวเองเก่งมาก เพราะว่าการที่จะใช้ซีดีรอมได้ ใช้คอมพิวเตอร์ได้มันโก้นะ รู้สึกว่าเชี่ยวชาญมาก  ก็เปิด กดพระราชดำรัสพระ ภาษาอังกฤษ ของวันที่ 4 ธ.ค. 1998 กดไปก็ดู SUFFICIENCY ECONOMY  ก็มีอยู่นี่นา  ก็หมายความว่าได้แปลไว้ชัดเจน และพูดแล้วซ้ำแล้วซ้ำอีก

ก็ตอบไปให้แก่ผู้ที่เป็นดอกต้งด๊อกเตอร์ต่างๆ  เหล่านั้น ว่ามีแล้ว แล้วเขาก็ มาบอกว่า คำว่า SUFFICIENCY ECONOMY ไม่มีในตำราเศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะเป็นทฤษฎีใหม่เป็นตำราใหม่ ถ้ามีอยู่ในตำรา ก็หมายความว่าเราก้อปปี้มา   เราลอกเขามา   เราไม่ได้ลอก  ไม่อยู่ในตำราเศรษฐกิจนะเป็นเกียรติมาก  ที่เขาพูดอย่างนี้ ว่า SUFFICIENCY ECONOMY ไม่มีในตำรา  การที่พูดว่า  ไม่มีในตำรา  ที่ว่าเป็นเกียรตินั้น ก็หมายความว่าเรามีความคิดใหม่ เป็นความคิดที่ใหม่และ โดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ   เราก็สามารถที่จะคิดอะไรที่ให้ผู้เชี่ยวชาญทาง เศรษฐกิจสนใจ จะถูกจะผิดก็ช่างแต่เขาสนใจและถ้าเขาสนใจ เขาก็จะสามารถ ที่จะปรับปรุง หรือไปใช้หลักการเพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศและของโลก พัฒนาดีขึ้น อันนี้ขอพูดจากที่เขียน  หรือที่พูดเมื่อปีที่แล้วว่า  จะเป็น ประโยชน์อย่างไรต่อไป ซึ่งก็แย้มเอาไว้แล้วแต่เศรษฐกิจพอเพียงนั้น  

เขาตีความ ว่าเป็นเศรษฐกิจชุมชน คือหมายความว่าให้พอเพียงในหมู่บ้าน หรือในท้องที่ให้สามารถที่จะมีพอกิน  มันเริ่มด้วยพอมี  พอกิน อันนี้พอมี พอกินได้พูดมาหลายปี 10 กว่าปีมาแล้ว  ให้พอมีพอกิน  แต่ว่า  พอมีพอกิน มันเป็นการเริ่มต้นของเศรษฐกิจเมื่อปีที่แล้ว บอกว่า ถ้าพอมี พอกินของตัวเอง นั้นมันเป็นเศรษฐกิจสมัยหิน   มันไม่ใช่ว่า  เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจ สมัยหิน สมัยหินนั้นเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน  แต่ว่าค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน มีการช่วยระหว่างหมู่บ้านหรือระหว่างอำเภอ  จังหวัด  ประเทศ  ก็จะต้องมีการแลกเปลี่ยน มีการไม่พอเพียง  ถึงบอกว่ามีเศรษฐกิจพอเพียง  เพียงเศษ  1  ส่วน  4  ก็ถือว่าพอแล้ว จะใช้ได้ เพราะถ้ามีเศรษฐกิจพอเพียง  เศษ 1 ส่วน 4 

ถ้าสมมติว่า เดี๋ยวนี้ ไฟดับ ถ้าไม่มีเศรษฐกิจพอเพียง ไฟดับ ไฟฟ้าหลวง หรือไฟฟ้าฝ่ายผลิตดับหมด พังหมด จะทำอย่างไร ที่ที่จะต้องใช้ไฟฟ้า ก็จะต้องแย่ไป บางคนที่ต่างประเทศ เวลาไฟดับเขาก็ฆ่าตัวตาย แต่ของเราไฟดับเราเคยชิน เราไม่เป็นไร ไฟดับถ้ามี ความจำเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่  เรามีเครื่องปั่นไฟ เราก็ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืด ก็จุดเทียน มีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ  ฉะนั้น เศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้นๆ  แต่ว่า  ต้องดูว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ที่จะมาบอก ว่าให้พอเพียงเฉพาะตัวเอง100  เปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้  จะต้องมีการ แลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนไม่ใช่พอเพียงแล้ว

แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีหลวงนี่  คือ  ให้สามารถที่จะดำเนินงานได้ แต่ที่ว่าเมืองไทยไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียง  นี่ไม่ได้ตำหนิ  ไม่เคยพูด  นี่เพิ่งพูดวันนี้ เวลานี้ ขณะนี้ ว่าประเทศไทยไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียงค่อนข้างเยอะ  แย่เพราะว่า จะทำให้ล่มจม ใอ้เศรษฐกิจพอเพียงที่หมายถึงนี้ คือว่า อย่างคนที่ทำธุรกิจก็ย่อมต้องไปกู้เงิน    เพราะว่าธุรกิจหรือกิจการอุตสาหกรรม สมัยใหม่   คนเดียวไม่สามารถที่จะรวบรวมทุนมาสร้างกิจกรรมที่ใหญ่ ซึ่งจำเป็นที่จะใช้กิจกรรมที่ใหญ่

ไหนๆ  ได้เอ่ยถึงเขื่อนป่าสัก คนเดียวทำไม่ได้ หรือแม้จะหน่วย ราชการหนึ่งเดียวทำไม่ได้ เขื่อนป่าสักนี้  ซึ่งเริ่มต้นด้วยเป็นกิจการของกรมชล ประทาน แต่ว่าให้กรมชลประทานทำแต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ มันกว้างขวางมาก  ก็ต้องรวบรวมกำลังและกลายเป็นกิจการของรัฐบาลเป็นส่วนรวม หรือว่า รัฐบาลไม่ใช่รัฐบาลเดียวหรือว่ารัฐบาลเสริม  หมายความว่ารัฐบาลหลาย รัฐบาล  เอสเซอร์ ก็ไหนๆ พูดภาษอังกฤษ ก็มาใส่ตัวเอส  ก็หลายรัฐบาลต้องทำ  แล้วก็เงินทองนั้นก็เป็นกิจการที่ใช้เงิน  คือทำไปทำมาแต่ก่อนไม่แพง  แต่ทีหลังก็แพงเกิน  2  หมื่นล้าน  สองหมื่นล้านเป็นจำนวนเงินที่ไม่ใช่น้อย ดูจะเป็นเงินที่หายาก แล้วทำไมมาทำ  แต่ที่ทำและสนับสนุนให้ทำเพราะว่า เขื่อนป่าสักนี้ อย่างที่นายกฯ ได้กล่าวว่า ได้มีประโยชน์มาก แม้จะยังไม่ได้ส่ง น้ำในการเกษตรแท้ๆ แต่ว่าได้ทำประโยชน์ ปีนี้เดือนตุลาคมพฤศจิกายน เขากลัวน้ำท่วม  แล้วก็ได้บอกไว้แล้วว่า โครงการป่าสักมีไว้สำหรับน้ำแห้ง และมีไว้สำหรับน้ำเปียก น้ำมันก็เปียกน้ำมาก  น้ำเกินทำให้มีความเสียหาย 

เสียหายทั้งทางเกษตรคือถ้าสิ่งที่เพาะปลูกถูกน้ำท่วมก็เน่า  และเมื่อเน่าแล้ว เจ้าของเกษตรกรก็ไม่รายได้  ต้องช่วยเขา  และเขาก็ต้องช่วย ตัวเองด้วย เสียหายมากในด้านอื่น ในกรุง ในเมืองก็มีน้ำมากไม่ได้ประโยชน์  มาท่วมถนน  การจราจรติดขัด  ธุรกิจต่างๆ หยุดชะงัก ไอ้ความเสียหายเหล่านี้ ที่เคยคำนวณดูว่า  หมื่นล้าน  เมื่อปี  26 หรือเมื่อปีน้ำท่วม คำนวณดูแล้วรัฐบาลต่างๆ ในระยะโน้นต้องมีงบประมาณไปช่วยเกษตรกร งบประมาณสูบน้ำออก จากถนน ออกจากกรุง คิดแล้วเป็นเงินก็ประมาณ หมื่นล้าน  แต่ความเสีย หายอย่างอื่นที่เป็นมลพิษ คือ เครื่องที่สูบก็ต้องใช้น้ำมัน หรือถ้าไม่ได้ใช้น้ำมัน ก็ต้องใช้ไฟฟ้า ไฟฟ้าต้องผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงที่สร้างมลพิษ ส่วนมากเป็น อย่างนั้น ไอ้เชื้อเพลิงหรือกำลัะงพลังงานที่ไม่มีมลพิษ  เช่นพลังงานน้ำมีน้อย  เปรียบเทียบกับพลังงานที่ใช้เช่น  น้ำมัน  หรือลิกไนต์  ทำมลพิษมาก ก็เสียหายทับถมไปอีก มันเกินหมื่นล้าน ถ้านับดูปีนี้  ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน  ไม่ต้องเสีย  และที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิตโดยเฉพาะเกษตรมีผลผลิตได้  แม้จะปีนี้เขื่อนยังไม่ทำงานในกิจการด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม  ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ก็เป็นเงินหลายพันล้านเหมือนกัน  ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุมแล้ว  คุ้มค่าที่ได้สร้าง  

ไอ้  2  หมื่นล้านนั่นน่ะ ที่สร้างตัวเขื่อนและส่วนประกอบต่างๆ ไม่ถึงพันล้านหรอก  ที่มาก เพราะว่าต้องไปชดเชยและไปเลื่อนถนนเลื่อนรถไฟ ก็ไม่ใช่เฉพาะเขื่อน การที่จะชดเชยผู้ที่มีที่  เขาก็ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น วันนั้นที่ไปเปิดเขื่อนได้บิน เฮลิคอปเตอร์ไปดูขอบของอ่าง ก็เห็นบ้านที่เขาสร้างให้ผู้ที่ย้ายมาจากที่จะอยู่ใน ที่เสียหาย    เขาก็สร้างบ้านไว้อย่างดี   คุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับการชดเชยก็ดีขึ้น ก็หมายความว่ากิจการเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแแบบ พื้นฐานแต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า  ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว  คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย  แต่ทำให้ส่วนรวมได้รับ ประโยชน์แล้วเจริญ  

การที่สร้างเขื่อนป่าสักนี้ เป็นกิจการที่กว้างขวางต้องร่วม มือกันหลายหน่วยงานไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ไปขุดดินมาถม    หรือของผู้ที่จะงานมา เปิดปิดประตูน้ำเพื่อควบคุมน้ำ  เป็นการร่วมมือระหว่างคนหลายจำพวกหลาย อาชีพ บางคนก็ไม่ใช่วิศวกร บางคนก็เป็นพวกที่เป็นผู้ปกครอง เป็นฝ่ายปกครอง  คือ  ฝ่ายจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ จนกระทั่งกำนันผู้ใหญ่ ทุกคนมีสิทธิ์แต่ว่าถ้ากิจการที่ทำ  ต้องมีนโยบายที่แน่วแน่  สอดคล้องกัน ถ้ามัวแต่ทะเลาะกันไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จก็ถือว่าไม่ได้ประโยชน์จากกิจการที่คิด และเมื่อไม่ได้ประโยชน์จากกิจการที่คิด ป่านนี้เราจะจนลงไปเงิน  2หมื่นล้าน ถือไปลงทุนก็ถือว่าหมดไปแล้ว  หมดไปโดยไม่มีประโยชน์  หมดไปโดยได้ ทำลาย  เพราะเกษตรกรเดือดร้อน  ชาวกรุงเดือดร้อน  ฉะนั้นก็ต้องมีเหมือนกัน  โครงการต่างๆ  หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่  ที่ต้องมีการสอดคล้องกันดี ที่ไม่ใช่ เพียงแต่ เหมือนทฤษฎีใหม่ 15ไร่ ปลูกข้าวพอกิน อันนี้มีใหญ่กว่าแต่อันนี้ ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน  คือ  คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่  ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก เขาคิดว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกล จากเศรษฐกิจพอเพียง แต่ว่าไอ้นี่ เราว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียง

อันนี้เป็นตัวอย่างในทางที่บวก  เศรษฐกิจพอเพียงอีกอย่าง ไม่ค่อยอยากพูด  แต่ว่าอย่างเช่น การแลกเปลี่ยนเงินค่าแลกเปลี่ยน  ไอ้นี่ได้พูด มา 2 ปี บอกว่าให้ค่าของเงินจะสูงจะต่ำเท่าไหร่ก็ไม่ขัดข้อง แต่ถ้าไม่สมดุลกัน มันไม่ดี อย่างที่บางคนบอกว่า ค่าของเงินแข็งเกินไปทำให้การขายไม่ดี ก็ขอคัดค้านเหมือนกัน  ถ้าให้เงินอ่อนลงไป เช่นจะให้ดอลลาร์ 50บาท อ้างว่าขายสินค้าออกไปต่างประเทศ เงินดอลลาร์จะได้มา  50 บาท จริงได้ 50 บาท แต่ว่า 50 บาทนั้นมันราคา 50 บาทหรือเปล่า เพราะว่า 50 นั้น จะไปซื้อ น้ำมันไปซื้ออะไรก็ได้เพียงครึ่งเดียว   อันนี้ไม่ได้เข้าข้างใครแต่ว่าเข้าข้างตัวเอง  เพราะได้พูดมาก่อนนี้แล้ว

พูดมาก่อนที่  ผู้ที่เปลี่ยนตัวละครในการถกเถียงกันได้มาอยู่ใน ตำแหน่งนั้น พูดมานานแล้ว แต่ว่าถ้าเงิน  20บาท 25 บาทต่อดอลลาร์ 50 บาทบ้างต่อดอลลาร์ คนที่ ขอใช้คำว่าหัวใส คนที่หัวใสเขารู้ เขาก็ไปซื้อ ดอลลาร์ในราคา 25 บาท ไม่กี่วันดอลลาร์ขึ้นไป 50 บาท เขาก็ขาย 50 บาท ได้กำไร 2 เท่าได้กำไรขึ้นมา  อย่างนั้นเราเห็นว่า คนได้กำไร เราก็ยินดีด้วยกับ เขาว่าคนไหนรวยก็ดี แต่ที่ไม่ยินดีเพราะว่าคนไหนที่ได้กำไรโดยมีเทคนิคสูง ในการแลกเปลี่ยน  หรือมีความรู้ไส้  ฝรั่งเขาเรียกว่า  อินไซเดอร์ ก็หมายความว่า รู้ไส้นั่นเอง คนไหนรู้ไส้ของเศรษฐกิจชั้นสูงๆ อย่างนี้รวย รวย

แต่ว่าคนนั้นรวยอย่างที่ว่า  เรายินดีด้วยกับเขาถ้าเขารวย  เรารวยก็จะได้ใจบุญทำบุญได้  แต่อย่างนี้เศรษฐกิจพัง  พังเพราะอย่างนี้  จะไม่พูดว่าอันนี้เป็นทุจริต แต่ว่าพูดไปแล้ว ในเมืองไทยนี้ ถ้าทำกิจการหมาย ความว่า  ปกครองหรือดำเนินการกิจการทั้งในด้านการเมือง  เศรษฐกิจ  ธุรกิจ  อาชีพมีทุจริตเมืองไทยพังเมืองไทยเราที่ยังไม่พังแท้  ก็เพราะเมืองไทยนับว่า แข็งมาก แต่ว่าเดี๋ยวนี้ถ้าทำไม่ระวัง  เข็นให้พัง มันเหมือนบ้านที่กำลังคลอน บ้านกำลังคลอนอะไรสั่นนิดเดียวบ้านก็ถล่ม เมื่อถล่มแล้วก็จะแย่

ในปีที่ผ่านมายังไม่ผ่านไป  มีตัวอย่างของเรื่องบ้านพัง อย่างเช่น เตอรกีบ้านมันพัง มีแผ่นดินไหว สั่นบ้านก็พังจากชั้นบนมาถึงชั้นล่างเลย  คนที่นั่งชั้นบนบอกว่า  มันลงๆๆๆๆ  ทับลงมายังถึงชั้นล่างก็ยังมีชีวิตอยู่ได้  เพราะมีทุจริตส่วนใหญ่  เพราะว่าผู้ที่ตรวจการก่อสร้างปล่อยให้เขาก่อ สร้างบ้านที่สั่นนิดก็หล่น ที่อื่นที่มันสั่นเกิดแผ่นดินไหว  ไม่เสียหายเท่าก็มี หลายตัวอย่าง  ก็ตัวอย่างเขาว่า  เป็นทุจริต  ที่เวเนซูเอลาเมื่อไม่กี่วันมานี้  เขาว่าเป็นทุจริตไม่ได้ทำโครงการที่เหมาะสมสำหรับป้องกัน ทำให้คนตายกว่า 3 หมื่นเป็นอย่างน้อยเมืองไทยเคราะห์ดีไม่เป็น  ไม่มีเรื่องนี้  แต่ถ้าไม่ระวังก็เป็น ที่ได้เห็นเพราะว่า ไปอยู่หัวหินนานเกินไป ทำให้ไปเผชิญพายุ พายุที่ผ่าน ที่ปราณฯ ด้วยความเร็วลม 60กม./ชั่วโมงมาพัดใส่หัวหิน

วันนั้นเวลา  10.00น.ดูทะเลเป็นบ้า  น้ำท่วมที่บ้านวังไกลกังวล  น้ำท่วมเพราะเหตุว่า  ถนนที่ผ่านตลาดกั้นน้ำไว้  น้ำก็เอ่ออยู่ข้างบน  แล้วก็ท่วมชาวบ้าน  สุดท้ายก็ไปพังถนนนั้น  พังที่กั้น 2 ข้างของผิวจราจรน้ำก็ ไหลลงเข้ามาในวังไกลกังวล แล้วเทลงทะเล เป็นเหมือนน้ำตกก็สวยดีเหมือน กัน แต่ว่าน้ำท่วมครั้งนั้นอยู่พอดีที่จะควบคุม     ก็จัดการซ่อมแซมได้เรียบร้อย    แต่ตอนนี้ต้องทำแผนเพราะว่าน้ำก็ท่วมลงตลาดฉัตรชัย  ไม่ไหลลงทะเล เพราะสร้างบ้านขวาง  ตลอดทางขากลับจากหัวหิน น้ำก็ยังท่วมอยู่บริเวณทาง เข้าเพชรบุรี  เพราะตรงนั้นมีอาคารสร้างขวางทางน้ำที่จะลงทะเล  ที่จะระบาย น้ำออก ทั้งหมดนี้เดี๋ยวจะกลายเป็นการหาเรื่อง  แต่ว่าระเบียบ เขาก็รู้ว่าน้ำฝน จะลงมาจะทำให้ขวางเอ่อท่วม ถ้าควบคุมดีๆ      ก็จะไม่ว่าเป็นทุจริตแต่เป็น เลินเล่อเพราะเป็นมานานแล้ว     สร้างถนนทำสะพานไม่พอสร้างถนนเขาก็ บอกว่ามีท่อ ไอ้ท่อนั้นมันผ่านไม่ได้เท่าไรท่อใหญ่ๆ คนเข้าไปได้แต่น้ำมันมาก กว่า ฉะนั้นโครงการไม่ดีเห็นมามากแล้ว ว่า ระหว่างหน่วยราชการเช่น กรมทาง กรมชลประทาน กรมป่าไม้ เป็นต้น  ไม่ได้สอดคล้องกัน  โครงการไม่ ทำสอดคล้องก็เกิดเรื่อง ก็แก้ไขได้ไม่ยากนักแต่จะต้องไม่มีที่ติ จะต้องร่วมกัน แต่ถ้ามีทุจริตเข้ามาเกี่ยวข้องในกิจการเหล่านี้แล้ว   มันก็จะทำให้ร้ายแรงขึ้นไป สองเท่าสามเท่า  ที่พูดอย่างนี้เมื่อหลายปีแล้วยี่สิบปีได้มั้งที่ชุมพร มีฝนลงมา มากและน้ำไหลขึ้น น้ำก็ขึ้น ๆ ๆ ในคลอง ที่ผ่านชุมพรนั้นเรียกว่า  คลองอู่ตะเภา  ซึ่งเป็นคลองที่รับน้ำคลองท่าแซะ  กับคลองลับล่อ เป็นสำคัญ 2 คลอง   น้ำลงมาและผ่านถนน   ตอนนั้นมันเอ่อและไหลมาลงคลองอู่ตะเภาจะท่วม อำเภอเมือง  ชุมพร ตอนนั้นก็มีโครงการแล้วประตูน้ำสามแก้ว แต่การเปิดประตู น้ำสามแก้วนั้น เขาเปิดปิดผิดจังหวะเพราะน้ำพรวดพราดมาถนนที่สร้างตอน นั้นก็ไม่ใหญ่โตไม่มีทางปล่อยน้ำลง   

เมื่อสองสามปีนี้ก็เกิดเรื่องที่เล่าให้ฟังเมื่อ ปีที่แล้ว  ฝนตกน้ำท่วมในเมือง 2 เมตร รถยนต์ รถอะไรแย่ โรงพยาบาลก็ท่วม ที่ว่าเอ็กซเรย์ที่อยู่ชั้นล่างก็เสียหาย     ทราบอย่างนั้นก็ได้ซอเอ็กซเรย์ให้เขาเมื่อ ไปก็ไปเยี่ยมโรงพยาบาลไปดูเอ็กซ์เรย์ เยี่ยมเอ็กซเรย์  พอดีหมอเอ็กซเรย์ที่นั่น  เขาก็บอกว่าน้ำท่วมสูงถึงหม้อแปลง แต่ดูแล้วก็ดีใจที่หมอเอ็กซเรย์เป็นหมอ ผู้หญิงแต่ตัวสูงก็เลยไม่จมน้ำตาย   ก็ซื้อเอ็กซเรย์ให้นั้นจะเข้าประตูไม่ได้เพราะน้ำขึ้นมาสูง ต้องเข้าทางหน้าต่างที่เป็นเช่นนั้นเพราะโครงการไม่ถูกคือ  มีคลองที่จะระบายน้ำ ที่เรียกว่า หัววังอนันต  แต่ว่า คลองนั้นยังไม่เสร็จเรียบ ร้อยต้องคอยอีก 2 ปีถึงจะเสร็จก็เลยบอกว่าขุดเลย เขาก็บอกว่าไม่มีเงิน  เอาเงินให้ งบประมาณไม่มีก็ช่างที่จริงไม่มีเท่าไรเปรียบเทียบกับความเสียหาย ที่เสียหายเป็นพันล้านก็ทำขุดได้ประชาชนก็ร่วมมือ  

ต่อมาเมื่อทำเสร็จก็ ระบายน้ำได้  มีพายุเข้ามาอีกมีฝนลงมามากไม่ท่วม ปีต่อมาปีที่แล้วก็ไม่ท่วม <เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลายครั้ง> เนี้ยเด็กสมัยใหม่  เด็กไอที  ไม่ท่วมหมายความว่า 3ปีไม่ท่วม ประหยัดได้ 3 พันล้าน ที่ทำคลองนั้น 30ล้าน ก็คุ้มนะ ไอ้นี้พอเพียงเป็นเศรษฐกิจ พอเพียง เราก็คิดดูวันนั้น ตอนนั้น ที่เดินทางไปที่ชุมพรจากหัวหิน  นั่งรถไปก่อนจะไปถึงที่ก็จอดที่สะพานแห่งหนึ่ง ชะโงกดูสะพาน ข้างล่างไม่มีน้ำ มีน้ำขังอยู่นิดๆ คนก็ถามว่าทำไมมาจอดสะพานนี้  ไอ้สะพานนั้นตอนน้ำ ท่วมน้ำมันผ่าน เหนือสะพาน 1เมตร หมายความว่าสะพานนั้นทำหน้าที่ สะพานอยู่ใต้น้ำ  ฉะนั้นจะต้องหาวิธี  โดยบอกกับกำนัน บอกว่าคลองท่าแซะ อยู่โน่น เขาบอกใช่ แล้วตามทางเป็นของใคร เขาบอกว่าของชาวบ้านทำนา ก็เลยบอกขอนิด ขอสำรวจต่อไปอาจจะทำคลองระบายน้ำลงไปในหนองใหญ่   เพื่อที่จะเป็นระบบป้องกันน้ำท่วม  ซึ่งหนองใหญ่จะเป็นที่เรียกว่า แก้มลิง
แก้มลิง  นี่คนเขาก็หัวเราะทำไม่เรียกแก้มลิง  ก็อธิบายมาแล้ว คนก็เข้าใจแล้วว่าแกล้มลิงคืออะไร คนหัวร่อเพราะข้อความที่ใช้มันตลก ที่เอาลิงมาเลี้ยงที่นี่เพราะแก้มลิง เพื่อคนจะได้รู้จะได้เห็น สมัยนี้คนไม่รู้ไม่ได้ เห็นว่า ลิงมีแก้มแต่เอามาโชว์ว่ามีแก้มลิง

ขอพูดต่างหากต่างหาว่า  ลิงตัวหนึ่งที่มีอยู่  เรียกว่าไอ้กะลา  มือมันพิการไม่ด้วนแต่ใช้การไม่ได้ หรือคุณกะลาเมื่ออยู่ในวังเป็นลิงจาก บางขุนเทียนของท่านผู้ว่าฯ   ใครเอากะลาเจาะรูไปวาง  ลิงก็อยากรู้ว่าข้างในมี อะไรเอามือเข้าไป ก็จับและกำมันก็อิยู่อย่างนั้น สลัดไม่ออกเพราะกำมือไว้ มือก็เริ่มเน่า หมอไปจับกว่าจะจับได้ก็หลายวัน  ผ่ากะลานั้นออกพิการ  เมื่อมือพิการแล้ว เราจะปล่อย แม้รักษาหายแล้วก็ยังพิการ  ถ้าปล่อยไปในฝูงลิง  ที่บางขุนเทียนมันก็อยู่ไม่ได้  จะถูกพรรคพวกตี ก็คงตายแน่ เราก็เรียกว่า คุณกะลา 
เมื่อ 2-3วันนี้ได้ข่าวว่า ที่เพชรบุรี มีลิงตัวหนึ่ง เขาผูกกะละมังที่ตีน ขาของลิงเขาผูกมันแน่นเข้าทุกที ตีนมันเลยเน่า ตอนนี้รักษาเขาบอกว่า ต้องตัด น่ากลัวจะต้องเอามาเลี้ยงที่นี่ด้วย เพราะสงสารเข้าฝูงไม่ได้ ตายแน่ ก็เลยนึกว่าน่าจะเอามาเลี้ยง ลงท้ายก็เป็นพวกพิการตัวนั้นชื่อ ไอ้กะละมัง ไม่ทราบว่าเป็นลิงตัวผู้ตัวเมีย  ตัวนี้ลิงตัวผู้ ถ้าตัวนั้นเป็นตัวเมียก็จะให้แต่ง งานกัน แล้วลูกก็ชื่อกะลาแม แต่สงสัยว่า เป็นตัวผู้เพราะมันซนและดุ  ถ้าเป็นตัวผู้ด้วยก็ต้องหาภรรยาให้เขา แต่ว่า ไม่ได้หมายความว่าตัวเมียไม่ดุ  อาจจะดุก็ได้  

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นตัวเมียก็ดี กะลากับกะละมังแต่งงานกัน อาจจะต้องเชิญคณะรัฐบาลมาเป็นพยาน ท่านประธานสภาฯ ท่านผู้นำฝ่ายค้าน มาหมด อาจจะได้สัมภาษณ์ลิงว่า  เขาทำอย่างไร  เอ๊ะ  พูดถึงลิงทั้งที่ จริงๆ  พูดถึงชุมพร ปีนี้ผ่านวิกฤติหลายขั้น  แต่ก็อย่างดี  ก็บอกว่าถ้าบริหาร โครงการ  ระบบ  ด้วยดีได้ผล เมื่อกี้ทำไมพูดถึงลิงก็เพราะแก้มลิงหนองใหญ่ได้ผล  การบริหารที่ได้เล่าให้ฟังเพราะมันต้อเนื่องกับผู้ที่อยู่ที่นั่น คือผู้ว่าราชการ จังหวัดก็ตามในกรมกองต่างๆ  ผู้ว่าคนใหม่ก็ดีเข้าใจ  ข้าราชการอื่นๆ ก็เปลี่ยนเกือบหมดเหลือคนเดียวคนเดิมที่เข้าใจ  เป็นสิ่งที่มีความลำบาก เพราะผู้ที่บริหารโครงการจะต้องมีความเข้าใจ แม้จะมีผู้บริหารเข้ามาใหม่ก็จะ ต้องถ่ายทอดความรู้และช่วยกันทำ แสดงให้เห็นว่า ไปที่ชุมพรใช้ได้ ถ้าช่วยกันบริหารด้วยความเข้าใจนั้น    กิจการก็สำเร็จ    ตกลงได้ประหยัดการลงทุนประมาณ 35 ล้าน ของมูลนิธิและของข้าราชการที่ ลงทุนไปตามงบปกติ ที่สามารถฟันฝ่าไปได้อย่างดีก็ไม่ทราบว่าใครได้หน้า  เพราะว่าเปลี่ยนคนไปเรื่อย แต่ว่าทุกคนมีส่วนได้หน้าทั้งนั้น รวมทั้งเอกชนคือ มียังงานที่ต้องทำ ทำงานเพื่องาน  ให้ได้ผลสำเร็จวิธีการบางอย่าสงก็ต้องมีการ ปรึกษาหารือกันบ้าง  ถ้าทำได้ดีมันช่วยกันประหยัดก็สามารถทำโครงการที่เป็น ประโยชน์แก่ส่วนรวม   ไม่อยากจะพูดว่าเป็นประโยชน์กับประชาชน เพราะเอะอะอะไรก็ประชาชน
ทั้งที่ประชาชนเขาคอย  ผู้ที่มีความรู้มากกว่าไม่ใช่รัฐบาล  ผู้ที่มีความรู้ ผู้ที่มีใจเอื้อเฟื้อให้ไปช่วยเขา คือเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

เราก็เป็นประชาชนเหมือนกัน เป็นนายกฯ เป็นผู้นำฝ่ายค้าน จะปฏิเสธไม่ได้ว่า  เป็นประชาชนคนไทย ถ้าปฏิเสธก็หมายความว่า ทุกคนที่อยู่เป็นคนไทย เป็นคนไทยด้วยกันทุกคน  ผู้โตผู้น้อยเป็นคนไทยทั้งนั้น คนไหนพูดภาษาไทย ไม่ชัดก็เป็นคนไทย แต่ว่าก็ต้องร่วมมือกัน เข้าใจกันไม่ทราบว่า ตะกี้ ก่อนลงมาจะพูดเรื่องอะไรก็ลืมไปแล้ว พูดอะไรไปตามกลอน ที่จริงเราไม่ใช่ เป็นนักกลอนแต่กลอนพาไป  ก็ไม่ทราบว่า  ถ้าพูดไม่หมดก็คอยปีหน้า อ้อ  มีอยู่นิดหนึ่ง  คนเขาว่า ที่ไม่มีงานอย่างเช่นวันนี้ เพราะว่า ได้ออกสีหบัญชรแล้ว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น  สีหบัญชรไม่เกี่ยวกับงาน เช่นนี้  แต่วันที่  4  เจ้าหน้าที่ได้ตั้งทำกำหนดการในวันที่ 4 ที่ตารมปกติจะมา พบกันแบบนี้  มีงานหลวงลงท้ายวันที่  4  ไม่สามารถจะพบกัน ถ้าพบงานก็ ต้องเลื่อน ซึ่งเลื่อนก็ไม่ได้  ถ้าตั้งกำหนดการแล้ว  จะไปเลื่อนก็ไม่ได้ ถ้าทำต้องเลื่อนไปปีหน้าก็ไม่เหมาะสม เพราะเขาอุตส่าห์เลื่อนสวนสนามมา เป็นวันที่  2  เขาก็บอกว่า  วันที่  3 ก็มีนี่ แต่ไม่ไหววันที่ 3 ไปรับคำนับทหาร ต่างๆแล้ว วันที่3 ก็ขอพักหน่อย ก็วันที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่จริงแล้วเขาก็มีงานของเขา ก็เลยต้องเลื่อนมาถึงวันนี้  ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ดี พระจันทร์เต็มดวง 

พระจันทร์ เขาว่า เต็มดวงเต็มที่นะ และโตกว่าที่เคยเป็น  ตั้งเท่าไหร่ 150 ปี ถึงทำให้มี เหตุการณ์แปลกๆ เพราะว่าพระจันทร์อยู่ใกล้ ที่จริงไปดูพระจันทร์ก็โตจริงๆ  โตสว่าง  ที่พระจันทร์สว่างนี้ไม่ใช่เพราะพระจันทร์สว่าง เพราะว่าไม่มีเมฆ แล้วก็มลพิษของกรุงเทพเขาก็คงไปกวาดแล้ว  ทำให้ดีขึ้น  แต่ว่ายังไงก็ตาม  ถึงเลื่อนมาถึงวันนี้ วันที่ 23 วันที่ 4 ไม่มี วันที่5 ก็ออกสีหบัญชร

ที่จริงจะบอกให้ออกสีหบัญชรน่ะ  ตรงนั้นคับแคบ แล้วก็ค่อน ข้างจะร้อน คนที่อยู่ข้างล่าง เขาก็รู้ว่า พูดว่ากระไร  คนที่อยู่ข้างหลัง  ข้างบนเขาไม่โดน ไม่โดนแดด แต่คนที่อยู่ข้างล่าง เขาโดนแดด ก็ค่อนข้างจะลำบาก มองอะไรไม่เห็น ถึงเวลาพูดเนี่ยหงุดหงิด คนที่อ่านถวายพระพรรู้สึกหงุด หงิด แล้วคนที่ฟังข้างล่าง  คณะทูต คณะทูตานุทูตเขาหงุดหงิด ก็เลยทำให้มา นั่งกันอยู่ที่นี้ดีกว่า แล้วก็ เมื่อถ้านั่งตรงนี้ ก็รู้สึกว่าสบายกว่า ถึงแม้ว่าจะคนเยอะแยะ  แต่ว่าที่  ที่สีหบัญชรนั้นนับกันหรือ เปล่ารู้สึกไม่เท่าไหร่ ไม่กี่คน แต่ที่นี่ ที่มาวันนี้  21,154  แต่วันนี้บัญชี  เขาบอก 59 ก็ไม่รู้ว่า ใครหายไป แต่หายไป 5 คนก็ไม่เป็นไร เขาอาจจะดูทีวีคืนนี้  ดูทีวีว่าพูดอะไร  เขาอาจจะดูได้ดีกว่า แล้วก็ไม่เมื่อย ยังไงก็ตามได้แถลงข่าว แล้วว่า ทำไมมาทำวันนี้ ถ้าทำวันที่ 4 ไม่มีทาง

แม้จะเขาบอกว่า  เพราะว่ามีสีหบัญชร  แต่ความจริงอีกอย่าง หนึ่งจะต้องแถลงว่า  ปีที่ผ่านมานี้ก็ต้องขอบใจ  ขอบใจทุกคน  ต้องขอบใจ ทั้งฝ่ายราชการ และฝ่ายเอกชน พ่อค้าประชาชน ที่มีโครงการหรือมีงานการ แสดงออกมา ซึ่งความเอ็นดู ซึ่งความเป็นห่วง อันนี้ต้องบอกว่าทราบซึ้งจริงๆ มีคนเขาถามมา  ว่าที่มีงาน ที่มีรายการ โดยเฉพาะรายการทาง โทรทัศน์ หรือวิทยุก็ออกทุกวันให้พรว่า  รู้สึกอย่างไร  รู้สึกดีใจหรือเปล่า  เขาบอกดีใจ  บอกได้ว่า ดีใจและขอบใจ ที่ทุกคนก็ให้ศีลให้พรอย่างนั้น  จนกระทั่งตอนต้นปีที่ไม่สบาย  ที่ไม่สบายอย่างหนักๆ  เดินไม่ได้เรื่อง เดินตัวเบี้ยวไปเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังเบี้ยวๆนิดหน่อย  แต่ว่าก็ดีขึ้นมาก เพราะว่าได้ รับศีลรับพรเลยถึงต้องถือโอกาสขอบใจทุกคนที่มาให้พร  วันนี้ไม่ให้พร เนื่องจากวันเฉลิม 6 รอบ แต่ว่าถือว่า เมื่อก้าวเข้ามาในรอบที่ 7 แล้วก็ขอถือว่า เป็นการมาให้พรในรอบที่  7  คือ  รอบที่ 6 มันผ่านไปแล้ว เป็นปีที่ผ่านไปแล้ว แต่ว่าปีต่อไปไม่ใช่ปี เป็นอีกรอบที่จบรอบปีที่ 6  อันนี้เริ่มรอบที่  7 คราวเมื่อ คราวรอบที่ 5 ครึ่งนี้บอกว่า อายุ 72 จะไปเปิดเขื่อนป่าสัก  ก็คงจำได้ว่า เมื่ออายุ 5 รอบครึ่งบอกว่า อายุ 6 รอบถ้ายังเดินไหว จะไปเปิดป่าสักและฉลอง กันอย่างเอิกเกริก   ก็เดินไหว  ที่จริงก็นึกว่าจะเดินไม่ไหวแล้ว  แต่ก็เดินไหว เพราะพรที่ท่านทั้งหลายได้ให้  เลยวันนี้แม้จะไม่ใช่ แม้จะห่างจากวันเกิดแล้ว จะถือว่าเป็นวันทีได้รับพรตั้งแต่ 5 รอบครึ่ง 6  รอบ  แล้วก็ถึง 7 รอบ

ก็ขอขอบใจที่ท่านทั้งหลายมาให้พรและขอให้ทุกคนสามารถที่ จะทำงานอย่างดี   แล้วก็มีสุขภาพแข็งแรงจิตใจเข้มแข็งเพื่อที่จะทำหน้าที่ของ ตนเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ซึ่งแต่ละท่านก็เป็นแต่ละส่วนของส่วนรวม ไม่ใช่ ไม่เป็นก็ให้ทุกคนได้ประสบความสำเร็จความเจริญ

จาก Thaipost.net


กฎ กติกา มารยาท

การร่วมวงเสวนา: CAFE de Thailande ยินดีต้อนรับบทความเสวนาทั้งภาษาไทยและ English ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสื่อสาร - นิเทศศาสตร์ทุกเรื่องทุกประเด็นไม่ว่าจะเป็นบทความทั่วไป บทความวิชาการ บทคัดย่อ ประกาศ  การ แนะนำหนังสือและ Web site การแสดงความคิดเห็น คำถามและคำอภิปราย การร่วมเสวนานี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิกใดๆทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี บทความเสวนาที่ส่งมานั้นจะได้รับการนำเสนอต่อสาธารณะเพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยส่งบทความร่วมเสวนามาที่ cafethai@yahoo.com <mailto: cafethai@yahoo.com> โดยระบุชื่อ นามสกุล และ e-mail จริง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการนำเสนอข้อมูลและสะดวกสำหรับผู้อื่นที่จะติดต่อกลับได้โดยตรง

การแสดงความคิดเห็น และคำอภิปรายใดๆของผู้ร่วมเสวนา จะเป็นไปตามหลัก Free Speech คือทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและพร้อมที่จะรับฟังคำโต้แย้งด้วย พร้อมกันนี้ผู้ร่วมเสวนาต้องพร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบทางกฎหมาย หากคำอภิปรายนั้นไปละเมิดผู้อื่น และมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น 

ลิขสิทธิ์บทความเสวนา: บทความทุกบทความใน CAFE de Thailande สามารถนำไปเผยแพร่ต่อไปได้โดยเสรี ในลักษณะที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้า หากต้องการอ้างถึงคำพูดใดๆในลักษณะของการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตจากผู้ร่วมเสวนาผู้นั้นโดยตรง ยกเว้นกรณีที่ผู้ร่วมเสวนาขอสงวนลิขสิทธิ์บทความไว้ 

กองบรรณาธิการ:
พัฒนพงส์ จาติเกตุ <chatiketu@hotmail.com> และ คณะผู้ก่อการ

สิ้นสุดเนื้อหาในบทความฉบับนี้


สภากาแฟ: CAFE de Thailande <http://www.geocities.com/cafethai>
Copyright (c) 2000 Cafe de Thailande. 
Revised: 19 มกราคม 2543 14:10:34 .